กฎข้อที่หนึ่งคือห้ามขาดทุน และกฎข้อที่สองคืออย่าลืมกฎข้อที่ 1” วอร์เรน บัฟเฟตต์
คำกล่าวด้านบนเป็นปรัชญาการลงทุนที่ควรจดจำให้ขึ้นใจก่อนตัดสินใจลงทุน เป็นคำเตือนว่าอย่าลืมกฎข้อแรกในการลงทุนที่สำคัญที่สุดคืออย่าขาดทุน ถ้าเราขาดทุน 50 % นั้นหมายความว่าคุณต้องทำกำไร 100 % เพื่ให้กลับมาเท่าทุน
แล้ว As a Quant เราจะจัดการการขาดทุนอย่างไรแหละ วันนี้เราจะมาหาดูในหนึ่งวิธีจำกัดการขาดทุนนั้นคือ Volatility Targeting(scaling)
เป้าหมายของการบริหารความเสี่ยง: ควรเน้นที่ผลตอบแทนหรือความเสี่ยง?
ในอดีต นักลงทุนมักมุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน (Targeting Returns) โดยพยายามคาดการณ์ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความท้าทาย เนื่องจากตลาดมีความซับซ้อนและยากต่อการคาดเดา ด้วยเหตุนี้ แนวทางการกำหนด เป้าหมายความเสี่ยง (Targeting Risk) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยแนวคิดนี้เน้นไปที่การควบคุมระดับความเสี่ยงให้เหมาะสม แทนที่จะพยายามทำนายผลตอบแทนของตลาด
จากการศึกษาพบว่า การใช้ Risk Targeting สามารถช่วยให้พอร์ตมีความเสถียร ลดความผันผวน และเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงได้มากขึ้น
กลไกการทำงานของ Volatility Targeting(scaling)
ความผันผวน เป็นแนวคิดพื้นฐานในตลาดการเงิน ที่บ่งบอกถึงระดับของการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ความผันผวนมักเกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อน(Volatility Clustering)หรือแบ่งแยกได้ ซึ่งหมายความว่า หากตลาดมีความผันผวนสูง ความผันผวนก็มักจะสูงต่อไปสักระยะก่อนจะลดลง และในช่วงที่ตลาดเงียบสงบ ความผันผวนก็มักจะคงอยู่ในระดับต่ำจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน การเข้าใจพฤติกรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่รักษาระดับความเสี่ยงให้คงที่
แนวคิดของ Volatility Clustering ได้รับการพิสูจต์ในการเงินเชิงปริมาณ หากเราวิเคราะห์ผลตอบแทนรายวันของดัชนีหลักอย่าง S&P 500 หรือ SET เราจะสังเกตได้ว่า ในช่วงเวลาที่ตลาดเงียบสงบ ราคาจะคงที่เป็นระยะเวลาหนึ่งจนกว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรง และเมื่อเกิดความผันผวนแล้ว ช่วงเวลาถัดไปก็มักจะพบว่ามีความผันผวนสูงตามไปด้วย
พฤติกรรมนี้มีส่วนสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เพราะหมายความว่าการบริหารความเสี่ยงควรคำนึงถึงแนวโน้มของความผันผวน มากกว่าที่จะพิจารณาเพียงค่าความเสี่ยงในอดีตเพียงอย่างเดียว
แนวทางสำคัญในการบริหารความเสี่ยงคือ Volatility Targeting ซึ่งเป็นแนวคิดที่พยายามรักษาระดับความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอให้คงที่ แทนที่จะรักษาขนาดตำแหน่งให้คงที่ตลอดเวลา กล่าวคือ เมื่อความผันผวนต่ำ พอร์ตสามารถเพิ่มขนาดตำแหน่งได้ แต่เมื่อความผันผวนสูงขึ้น ขนาดตำแหน่งต้องลดลงเพื่อลดความเสี่ยง
ตัวอย่างเช่น หากพอร์ตโฟลิโอกำหนดเป้าหมายความผันผวนที่ 20% และความผันผวนที่สังเกตได้ในปัจจุบันอยู่ที่ระดับเดียวกัน พอร์ตสามารถถือครองสินทรัพย์เสียงเต็ม 100% ได้ แต่หากความผันผวนเพิ่มขึ้นเกิน 20% พอร์ตโฟลิโอจำเป็นต้องลดการถือครองลงเพื่อลดความเสี่ยง แนวทางนี้ช่วยให้พอร์ตโฟลิโอสามารถปรับตัวได้ตามสภาวะตลาดและลดโอกาสของการขาดทุนรุนแรง
หรือสรุปง่ายๆคือ
เมื่ความผันผวนสูงเราจะลดการถือครองสินทรัพย์นั้น
ในขณะเดียวกันหากความผันผวนตำ่เราจะเพิ่มการถือครองสินทรัพย์

Volatility Scaling
ใน Volatility Scaling เราให้ความสำคัญกับผลตอบแทนส่วนเกิน (excess returns) เพราะผลตอบแทนส่วนเกินสะท้อนถึงค่าตอบแทนสำหรับการรับความเสี่ยง ไม่ใช่มูลค่าของเงินตามเวลา ผลตอบแทนส่วนเกินหมายคือประเภทหนึ่งของผลตอบแทนที่ไม่มีการจัดหาเงินทุน (unfunded returns) เช่น long equities position ที่กู้ยืมในอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังปลอดความเสี่ยง (risk-free T-bill rate)
ลักษณะที่ไม่มีการจัดหาเงินทุนของผลตอบแทนส่วนเกินทำให้การประเมินผลตอบแทนจาก Position ที่มีการปรับ Volatility Scaling เป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างมาก: ผลตอบแทนที่ปรับขนาดตามความผันผวนจะเป็นสัดส่วนผกผันกับค่าประมาณความผันผวนตามเงื่อนไข ซึ่งสามารถทราบได้ล่วงหน้า โดยใช้ผลตอบแทนย้อนหลังไปถึงช่วง t

โดยที่เราได้เพิ่มค่าคงที่ k (ประมาณ 1) ซึ่งถูกเลือกให้สอดคล้องกับการที่เป้าหมายความผันผวนที่กำหนดไว้สามารถเกิดขึ้นจริง (ex post) ตลอดช่วงระยะเวลาตัวอย่าง เราทำเช่นนี้เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างหลักทรัพย์ วิธีการ และช่วงเวลาตัวอย่างที่แตกต่างกันได้ง่ายขึ้น
เราจะกำหนดเป้าหมายความผันผวนไว้ที่ 10% ต่อปีตลอดทั้งกระบวนการ
สำหรับผลตอบแทนที่ไม่ได้ปรับขนาด (unscaled returns) จะไม่มีการใช้ค่าประมาณความผันผวนตามเงื่อนไข แต่เพียงใช้ค่าคงที่เพื่อให้เกิดความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (ex post) 10% เช่นเดียวกับผลตอบแทนที่ปรับขนาด (scaled returns)

สัญญาฟิวเจอร์สและฟอร์เวิร์ดซื้อขายบนมาร์จิ้น (trade on margin) ดังนั้น ผลตอบแทนของมันจึงไม่มีการจัดหาเงินทุนโดยพื้นฐานอยู่แล้ว (essentially unfunded) ซึ่งหมายความว่า เราไม่ต้องหักอัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยงออกจากผลตอบแทน นอกจากนี้ ผลตอบแทนของสินเชื่อที่มีการป้องกันความเสี่ยงด้วยพันธบัตรรัฐบาล (Treasury-hedged credit returns) ก็ถูกออกแบบมาให้ไม่มีการจัดหาเงินทุนเช่นกัน
ในการประมาณค่าความผันผวน เราใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนรายวัน โดยให้น้ำหนักลดลงแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลตามช่วงเวลาย้อนหลัง (exponentially decaying weights)
เราพบว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความคล้ายคลึงกันเมื่อใช้น้ำหนักที่เท่ากันกับผลตอบแทนในกรอบเวลาแบบโรลลิ่งวินโดว์ (rolling window) ที่มีความยาวคงที่ หรือใช้ค่าประมาณที่อ้างอิงจากผลตอบแทนแบบสามหรือห้าวันที่ทับซ้อนกัน (ไม่ได้รายงานในที่นี้)
ทำไม Volatility Targeting(scaling) ถึง Work ?
หนึ่งในเหตุผลที่ Volatility Scaling ได้ผลดีเป็นพิเศษในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและตราสารหนี้ ก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Leverage Effect ซึ่งหมายถึง ความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างผลตอบแทนและความผันผวน
คุณลองนึกภาพเวลาตลาดกำลังถล่ม คนเริ่มแตกตื่นขายหุ้นทิ้ง ความผันผวนพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ราคาสินทรัพย์ร่วงลง เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ กองทุนขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันจำนวนมากจะรีบลดขนาดพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง การกระทำนี้ยิ่งทำให้แรงขายเพิ่มขึ้น และราคาลดลงไปอีก นี่คือวงจรของ Leverage Effect ที่ผลักดันให้เกิดโมเมนตัมด้านลบในตลาด
แต่ข้อดีของ Volatility Scaling ก็คือมันทำให้พอร์ตการลงทุน สามารถปรับตัวได้อัตโนมัติ โดยเพิ่มหรือลดนำ้หนักตามระดับความผันผวน ซึ่งช่วยลดความเสียหายจากตลาดขาลง และเพิ่มโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดสงบ
คุณคงเคยได้ยินคำว่า Panic Selling หรือภาวะตลาดแตกตื่น เมื่อราคาหุ้นร่วง นักลงทุนแห่กันขายสินทรัพย์เหมือน "Run on the Bank" การเทขายอย่างรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจากนักลงทุนมักต้องการปกป้องเงินทุนของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น กองทุนหลายประเภท เช่น กองทุนรวมแบบ Long-only ซึ่งมีข้อจำกัดทางกฎหมายว่าต้องถือสถานะซื้อเท่านั้น (ไม่สามารถขายชอร์ตเพื่อทำกำไรจากตลาดขาลง) ทำให้พวกเขามีทางเลือกเดียวคือ ขายออก เมื่อตลาดปรับตัวลง สิ่งนี้ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง และทำให้ Volatility Scaling มีความจำเป็นมากขึ้นในตลาดหุ้น
เมื่อความผันผวนสูง นักลงทุนลดขนาดพอร์ตลงช่วยป้องกันความเสียหายเมื่อความผันผวนต่ำ นักลงทุนสามารถเพิ่มตำแหน่งเพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดที่นิ่ง
Volatility Scaling ใช้ได้ผลกับสินทรัพย์ทุกประเภทหรือไม่?
แม้ว่า Volatility Scaling จะมีประสิทธิภาพสูงในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ แต่มัน อาจไม่ได้ผลดี กับสินทรัพย์บางประเภท เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) และ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (Forex)
ตลาดหุ้น (Equities) – มีความสัมพันธ์เชิงลบที่ชัดเจนระหว่างผลตอบแทนและความผันผวน ทำให้ Volatility Scaling มีประสิทธิภาพสูง
ตลาดตราสารหนี้ (Credit Markets) – มีพฤติกรรมคล้ายตลาดหุ้น ใช้ Volatility Scaling ได้ดี
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) – พฤติกรรมราคาไม่ได้ผันผวนจาก Panic Selling เหมือนหุ้น กลยุทธ์อาจไม่ได้ผลดีเสมอไป
ตลาดพลังงาน (Energy Markets) – ความผันผวนไม่ได้สัมพันธ์กับราคาตลาดในรูปแบบที่แน่นอน การลดหรือลดขนาดพอร์ตตามความผันผวนอาจไม่ได้ผลดีเสมอไป
ตัวอย่างเช่น ในตลาดพลังงาน บางครั้งความผันผวนสูงกลับเป็นสัญญาณให้ เพิ่มขนาดพอร์ต แทนที่จะลดลง เนื่องจากตลาดพลังงานถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน
ดังนั้น ก่อนใช้ Volatility Scaling เทรดเดอร์ต้อง วิเคราะห์สินทรัพย์ที่ตนกำลังลงทุน ว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์นี้หรือไม่
สรุป
ในสภาพตลาดที่ความผันผวนกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้แนวทาง Active Risk Management เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พอร์ตโฟลิโอสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น การกำหนดเป้าหมายความเสี่ยงแทนการคาดการณ์ผลตอบแทนเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและช่วยลดความไม่แน่นอนของตลาด
"อย่ากลัวความผันผวน ให้ใช้มันให้เป็นประโยชน์"
อนุกรมพิทานศัพท์
Volatility Targeting (การกำหนดเป้าหมายความผันผวน): แนวทางบริหารความเสี่ยงที่ปรับขนาดตำแหน่งของพอร์ตการลงทุนตามระดับความผันผวนของตลาด โดยเพิ่มการลงทุนเมื่อความผันผวนต่ำ และลดการลงทุนเมื่อความผันผวนสูง เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
Active Risk Management (การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก): กลยุทธ์ที่ใช้การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด ช่วยลดโอกาสขาดทุนและเพิ่มเสถียรภาพของพอร์ต
Risk Targeting (การกำหนดเป้าหมายความเสี่ยง): วิธีการบริหารพอร์ตที่มุ่งเน้นการควบคุมระดับความเสี่ยงให้เหมาะสม แทนที่จะพยายามคาดการณ์ผลตอบแทนของตลาด
Volatility Clustering (การจัดกลุ่มของความผันผวน): ปรากฏการณ์ที่ความผันผวนของราคามักเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ กล่าวคือ หากตลาดมีความผันผวนสูง ก็มีแนวโน้มที่ความผันผวนจะยังคงสูงอยู่ต่อไป และในช่วงที่ตลาดสงบ ความผันผวนก็มักจะต่ำลงต่อเนื่อง
Leverage Effect (ผลกระทบจากเลเวอเรจ): ปรากฏการณ์ที่ราคาสินทรัพย์มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความผันผวน กล่าวคือ เมื่อราคาลดลง ความผันผวนมักเพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต้องลดขนาดพอร์ต ส่งผลให้ราคาลดลงต่อเนื่อง
Panic Selling (การเทขายแบบตื่นตระหนก): สถานการณ์ที่นักลงทุนจำนวนมากขายสินทรัพย์ออกไปพร้อมกันเนื่องจากความกลัว ส่งผลให้ราคาตกลงอย่างรวดเร็วและทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง
Comments