top of page

CAPM: The Capital Asset Pricing Model

มูลค่าของกิจการควรเท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิของเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต แล้ว อัตราคิดลดควรเป็นเท่าไหร่?

ในบทความที่แล้วเราได้พูดถึง Markowitz portfolio ที่เป็นต้นธารของการจัดการการพอร์ตการลงทุน ถึงตรงนี้เราพูดถึงการต่อยอดที่ยิ่งใหญ่และมีการใช้งานจำนวนมาก(มากกว่า Markowitz portfolio แต่โดยมากจะอยู่ใน Coporate finance) นั้นคือ CAPM


หนึ่งในโจทย์ปัญหาสำคัญคือการหาอัตราคิดลดเราทราบกันดีอยู่แล้วเงินมีมูลค่าตามเวลา(ถ้ายังไม่ทราบไปอ่านตรงนี้) เราต้องการเปรียบเทียบมูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินสองชนิดหรือแม้กระทั้งการหามูลค่าที่ควรจะเป็นคือการหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ ปัญหามันเกิดตรงที่เราจะใช้อัตราคิดลดที่เท่าไหร่ดี? ถ้าเราใช้ Risk free rate ก็ดูไม่สะท้อนความเสี่ยงเท่าไหร่ (ผมไม่แน่ใจเหมือนกันพวก VI ใช้อัตราคิดลดจากไหม)


Markowitz’ และ William sharpe นำเสนอแบบจำลองเชิงเส้นที่ไว้หาดุลยภาพของอัตราคิดลดนี้ โดเรียกมันว่า Capital Asset Pricing Model (CAPM) และเบื่องหลังมันคือ Markowitz portfolio ดังนั้น Capital Asset Pricing Model (CAPM) จะดีได้เท่า Markowitz portfolio เพราะสมมุติฐานอิงกัน

CAPM หรือ "แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน" เป็นโมเดลทางการเงินที่ใช้ในการประเมินผลตอบแทนที่คาด

แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องผมขอพูดถึง  John Lintner และ Jan Mossin ถ้าว่าการตามตรงแล้ว John Lintner และ Jan Mossin น่าจะเป็นผู้พัฒนา แบบจำลอง CAPM ก่อน Sharpe ในช่วงเวลานั้นเกิดความสับสนบางอย่าง เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ทำงานเกี่ยวกับ บบจำลอง CAPM ต่างล้มเหลวในการตระหนักว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน พวกเขาพิจารณาปัญหาการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทุนจากมุมมองที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น วิลเลียม เอฟ. ชาร์ป พิจารณาปัญหาในฐานะนักลงทุนรายบุคคลที่กำลังเลือกหุ้น ในทางกลับกัน John Lintner และ Jan Mossin พิจารณาจากมุมมองของบริษัทที่ออกหุ้น John Lintner  นำเสนอผลงานของเขาต่อ Financial Analysts Federation ในปี 1983 เป็นครั้งแรกที่เขานำเสนอผลงานที่ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ "Lintner Paper" ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "The Potential Role of Managed Commodity-Financial Futures Accounts (and/or Funds) in Portfolios of Stocks and Bonds William F. Sharpe , John Lintner และ Jan Mossin จึงได้รางวัล โนเบิลร่วมกัน


ก่อนจะมาเป็น CAPM

เราจะเริ่มจาก Markowitz portfolio  ดังนั้นใครยังไม่ได้อ่านกดกลับไปอ่านก่อนนะครับ เมื่อเราสุ่มนำ้หนักการลงทุนเราจะได้ขอบเขตความเป็นไปได้มาและเส้นขอบนอกเราเรียกมันว่า efficacy frontier หรือ เส้นโค้งประสิทธิภาพ ซึ่งความหมายคือเส้นที่มีผลตอบแทนสุงสุดเมื่อความเสี่ยงคงที่ หรือในทางตรงข้าง ความเสี่ยงตำ่สุดเมื่อผลตอบแทนเท่ากัน

CAPM หรือ "แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน" เป็นโมเดลทางการเงินที่ใช้ในการประเมินผลตอบแทนที่คาด

แต่ว่าหากเรานำหลักทรัพย์ปราศจากความเสี่ยง ( Risk free asset) เราจะได้เส้นเพิ่มมาหนึ่งเส้น Markowitz และ  Sharpe ตั้งชื่อมันว่า Capital Market Line นักลงทุนจะเลือกลงทุนบนเส้นนี้เท่านั้นเพราะมันให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดภายใต้ความเสี่ยงเดียวกัน


CAPM หรือ "แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน" เป็นโมเดลทางการเงินที่ใช้ในการประเมินผลตอบแทนที่คาด

สมการของ ผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอที่สัมผัสเส้นตลาดทุน (Tangency Portfolio):

สมการของ ผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอที่สัมผัสเส้นตลาดทุน (Tangency Portfolio):


CAPM


ดังนั้นเราจะได้แบบจำลองกำหนดราคาสินทรัพย์ ที่เรียกว่า แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน (CAPM) เป็นแบบจำลองตัวประกอบเชิงเส้น ซึ่งตัวประกอบก็คือผลตอบแทนของตลาด เป็นแบบจำลองดุลยภาพที่สามารถใช้ทำนายราคาสินทรัพย์ได้ โดยมีสมการดังนี้


แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน (CAPM)

ตัวแปรหนึ่งที่ไม่มีอยู่ใน CAPM: ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Idiosyncratic risk) มันหายไปไหน เนื่องจากเราคำนวณค่าโดยใช้ความคาดหวังทางสถิติ (Expectation) ความเสี่ยงเฉพาะตัวจึงหายไป หากมองอีกแง่หนึ่ง CAPM ชี้ให้เห็นว่าเฉพาะความเสี่ยงระบบ (Systematic risk) เท่านั้นที่ควรได้รับผลตอบแทน ไม่ใช่ความเสี่ยงเฉพาะตัว  สิ่งนี้สมเหตุสมผล: เพราะเราสามารถกระจายความเสี่ยงเฉพาะตัวออกไปได้ทั้งหมด ดังนั้นตลาดจึงไม่ควรให้ผลตอบแทนสำหรับการรับความเสี่ยงประเภทนี้(ตามรูปด้านล่าง)


แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน (CAPM)

แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน จะเกิดอะไรขึ้นแหละถ้านักลงทุนไม่ลงทุนบนเส้นนั้น มันจะเกิดการทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยง(arbitrage)ทางการเงินหรือเศรษฐสาตร์

ในทางทฤษฎี อาร์บิทราจ (Arbitrage) ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน เมื่อมีนักเทรดจำนวนมากขึ้นที่รับรู้ถึงโอกาสนี้ พวกเขาจะ:

  • ซื้อ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ ราคาสูงขึ้น และลดโอกาสในการทำกำไรจากผลตอบแทนลง

  • ชอร์ต (ขายชอร์ต) สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ ราคาลดลง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากผลตอบแทน

  • การซื้อขายอย่างต่อเนื่องนี้จะนำไปสู่ ดุลยภาพทางตลาด (Market Equilibrium) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สินทรัพย์ทั้งหมดถูกกำหนดราคาอย่างถูกต้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง μZ = R (ผลตอบแทนที่คาดหวังเท่ากับอัตราผลตอบแทนปลอดความเสี่ยง)

Risk Premia

เมื่อจำนวนสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Idiosyncratic Risks) จำนวนมากจะหักล้างกันไปและถูกกระจายออกไป (Diversified Away) นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราจึงต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสถานะ (Position Concentration Risk)


เมื่อพอร์ตโฟลิโอขยายใหญ่ขึ้นและมีการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น ความแปรปรวนของพอร์ตโฟลิโอจะลดลงจนกระทั่งเหลือเพียงแค่ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systematic Risk) เท่านั้น และเนื่องจากเราไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงเชิงระบบออกไปได้ นักลงทุนจึงต้องได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง (Risk-Free Rate) เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่พวกเขารับจากการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอนี้


สำหรับความเสี่ยงระดับบริษัท (Firm-Specific Risks) ที่ยังเหลืออยู่ในพอร์ตโฟลิโอ จะไม่มีค่าตอบแทนความเสี่ยง (Risk Premium) ที่เกี่ยวข้อง เพราะหากมี คงจะเกิดโอกาสในการค้ากำไรแบบไร้ความเสี่ยง (Arbitrage Opportunity) นักลงทุนสามารถรับค่าตอบแทนความเสี่ยงในขณะที่กระจายความเสี่ยงเหล่านั้นออกไปได้ ซึ่งจะนำไปสู่กำไรส่วนเกินโดยไม่มีความเสี่ยงเพิ่มเติม นี่คือคำจำกัดความของโอกาสเก็งกำไรแบบไร้ความเสี่ยง!


จากเหตุผลนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า ค่าตอบแทนความเสี่ยงของสินทรัพย์ (Risk Premium) ไม่ควรมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงเฉพาะตัวของมัน แต่ควรขึ้นอยู่กับระดับของความเสี่ยงเชิงระบบที่มันมีแทน ดังนั้น เพื่อคำนวณค่าตอบแทนความเสี่ยงของสินทรัพย์อย่างแม่นยำ และคาดการณ์ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) เราจำเป็นต้องหามาตรวัดของความเสี่ยงเชิงระบบ หากเรามีมาตรวัดนี้ เราสามารถนิยามผลตอบแทนของสินทรัพย์เชิงทฤษฎีได้ดังนี้:



วิธีหนึ่งที่ใช้คือการประมาณความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทนส่วนเกินของสินทรัพย์ (Excess Return) กับการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทนส่วนเกินของตลาด โดยสามารถแสดงออกมาเป็นการถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) เพื่อบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทนที่คาดหวังของสินทรัพย์ต่อการเปลี่ยนแปลง 1% ของผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอตลาด


ตามทฤษฎีแล้ว พอร์ตโฟลิโอตลาด (Market Portfolio) ไม่ควรมีความเสี่ยงที่สามารถกระจายออกไปได้อีก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของมันควรสะท้อนถึงแต่เพียงความเสี่ยงเชิงระบบเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ เรามักใช้ดัชนีตลาด เช่น S&P 500 เป็นตัวแทนของพอร์ตโฟลิโอตลาด ค่าเบต้า (Beta) ที่ได้จากการถดถอยของผลตอบแทนของสินทรัพย์กับผลตอบแทนของตลาด จะเป็นมาตรวัดของความเสี่ยงเชิงระบบ ค่านี้แสดงถึงความไวของผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่อแรงกระทบที่เกิดขึ้นทั่วตลาด


เมื่อมีค่าเบต้านี้แล้ว ค่าตอบแทนความเสี่ยงของสินทรัพย์สามารถนิยามได้เป็น:



เรารู้จักโมเดลพื้นฐานนี้ในชื่อ Capital Asset Pricing Model (CAPM)


สิ่งนี้บอกเราอีกว่าในตลาดมีประสิทธิภาพสมบูรณ์เราลง Passive ก็พอแล้ว แม้ในปัจจุบันไม่มีดัชนีทางการเงินหรือชุดข้อมูลเศรษฐกิจใดที่สามารถติดตามราคาของสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้ทั้งหมด วิธีแก้ปัญหาที่นำมาใช้ในทางปฏิบัติคือการใช้ "Proxy”: ดัชนีทางการเงิน (เช่น S&P 500 หรือดัชนี MSCI World) ซึ่งแสดงถึงส่วนแบ่งขนาดใหญ่ของสินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดการเงิน วิธีแก้ปัญหานี้ไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากสะท้อนสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติถือว่าดีพอ เนื่องจากผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้เพียงไม่กี่ประเภท

แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน (CAPM)

แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สมบูรณ์ CAPM เป็นเพียงทฤษฏีที่ใช้ไม่ได้จริงในเชิงปฏิบัติ เพราะตลาดเราไม่ไกล้เคียงกับการมีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ปัจจัยกำหนดผลตอบแทนในโลกความเป็นจริงไม่ใช่แค่ความเสี่ยงที่เป็นระบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่แล้วเป็นส่วนหนึ่ง ของ Arbitrage Pricing Theory หรือที่เราเรียกว่า Factor Model

สารจากผู้เขียน

ผมคิดว่าจะเขียน Portfolio Theory ให้จบโดยคิดว่าจะลงทุกวันพุธ ไม่แน่ใจผผมจะแวะไป Factor Model ก่อนดีไหม ผู้อ่านทุกท่าน ถ้ามีความเห็นช่วยบอกผมหน่อยทุกช่องทาง


อนุกรมพิทานศัพท์ (Glossary)

  • Markowitz Portfolio

    • แนวคิดต้นกำเนิดของทฤษฎีการจัดสรรพอร์ตแบบสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory - MPT) ที่เสนอโดย Harry Markowitz ใช้ในการเลือกน้ำหนักสินทรัพย์ให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ณ ความเสี่ยงที่กำหนด

  • Capital Asset Pricing Model (CAPM)

    • แบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน ที่พัฒนาโดย William F. Sharpe, John Lintner และ Jan Mossin เพื่อคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากสินทรัพย์ โดยพิจารณาความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับตลาด (Systematic Risk)

  • Risk-free Rate

    • อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง เช่น ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมักใช้เป็นฐานในการเปรียบเทียบหรือคำนวณอัตราคิดลด (Discount Rate)

  • Discount Rate (อัตราคิดลด)

    • อัตราที่ใช้ในการแปลงมูลค่าในอนาคตมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์หรือการลงทุนที่เกิดขึ้นต่างเวลากันได้

  • Present Value (มูลค่าปัจจุบันสุทธิ - NPV)

    • มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ได้รับในอนาคตหลังหักต้นทุนการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อดูว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่

  • William F. Sharpe

    • ศิษย์เอกของ Markowitz ผู้พัฒนา CAPM ในมุมมองของนักลงทุนรายย่อย ได้รับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ร่วมกับ John Lintner และ Jan Mossin

  • John Lintner และ Jan Mossin

    • นักเศรษฐศาสตร์ผู้พัฒนา CAPM โดยพิจารณาจากมุมมองของบริษัทผู้ออกหุ้น

  • Efficiency Frontier (เส้นขอบประสิทธิภาพ)

    • เส้นโค้งที่แสดงพอร์ตการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุดที่ระดับความเสี่ยงหนึ่งๆ หรือความเสี่ยงต่ำสุดที่ระดับผลตอบแทนหนึ่งๆ

  • Arbitrage (การทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยง)

    • การซื้อและขายสินทรัพย์พร้อมกันเพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของราคาโดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใดๆ ในทางทฤษฎีจะเกิดขึ้นไม่ได้ในระยะยาว เพราะตลาดจะปรับเข้าสู่สมดุล

  • Market Equilibrium (ดุลยภาพตลาด)

    • สภาวะที่ราคาสินทรัพย์สะท้อนข้อมูลทั้งหมดอย่างถูกต้อง และไม่มีโอกาสในการทำ Arbitrage

  • Passive Investment

    • กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นลงทุนตามดัชนีหรือสินทรัพย์ตลาด โดยไม่พยายามหาหรือคัดเลือกสินทรัพย์รายตัวให้เหนือกว่าตลาด (ไม่เน้นการบริหารแบบ Active)

  • Proxy

    • การใช้ดัชนีทางการเงิน (เช่น S&P 500 หรือ MSCI World) เป็นตัวแทนสำหรับตลาดรวม เพื่อความสะดวกในการประเมินผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน



Ref :








댓글


Quantseras เรียน Quant

082-923-6655

Info@Quantsera.com

79/1656 Phahonyothin Rd, Chan Kasem, Chatuchak, Bangkok 10900

Subscribe to Our Newsletter

Follow Us On:

  • LinkedIn
  • Facebook
  • Twitter

© 2025 by QuantSera

bottom of page